ประวัติการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์รักษามาก่อนหรือไม่อย่างไร 2. ประวัติอาการ อาการแสดงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น ตรวจช่องปาก, ผิวหนัง, ต่อมน้ำเหลือง, ปอด, ระบบประสาท และอื่นๆ 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ต้องทำทุกราย HIV results CBC, SGPT, VDRL CD4 CXR 4. การตรวจอื่นๆ ตามแต่พิจารณาทำบางกรณี Hepatitis profile, Creatinine, Lipid profile, ตรวจเสมหะกรณีไอเรื้อรัง แนวทางในการให้ยาต้านไวรัสเอดส์ในผู้ติดเชื้อที่ยังไม่เคยรับยามาก่อน ยาที่ใช้มี 3 กลุ่ม 1. NRTI: AZT, D4T, 3TC, DDI, Abacavir 2. NNRTI: Nevirapine, Efavirenz 3. Pis: Indinavir, Ritonavir, Nelfinavir สูตรยาต้านไวรัสเอช ไอ วี ที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี ในประเทศไทย ให้เริ่มจากสูตรยาดังต่อไปนี้ตามลำดับ สูตร 1: Stavudine หรือ Zidovudine + Lamivudine + nevirapine สูตร 2: Stavudine หรือ Zidovudine + Lamivudine + efavirenz สูตร 3: Stavudine หรือ Zidovudine + Lamivudine + Indinavir 400-800 mg/Ritonavir 100 mg วันละ 2 ครั้ง1 สูตรยาที่ใช้ ของประกันสังคม สูตร 1. d4t+3TC+Nevirapine(NVP) หรือ GPO-VIR S30 (d4t30, 3TC150, NVP200), S40 (d4t40, 3TC150, NVP200)) สูตร 2.
00-17. 00 น. รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
ไม่แนะนำให้ใช้ยาใน NRTI กลุ่มเดียวกันคู่กัน คือ - d4T:AZT - ddC:ddI - ddC:d4T - ddC:3TC 2.
PIs: Indinavir, Ritonavir, Nelfinavir ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาต้านไวรัส 1. ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีค่า CD4 < 200 cumm. 2. ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีค่า CD4 < = 250 cumm. แต่มีอาการแสดงร่วมอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ - ไข้เรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ - อุจจาระร่วงเรื้อรังนานกว่า 14 วัน โดยไม่ทราบสาเหตุ - น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 15% ภายใน 3 เดือน ข้อบ่งชี้ Clinical failure 1. เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสขึ้นใหม่ หรือเป็นซ้ำหลังการรักษานานกว่า 6 ชั่วโมง 2.
เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่ง ใน ช่องคลอด หรือ น้ำนม ซึ่งภายในของเหลวที่ร่างกายสร้างขึ้นนี้ เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ได้ทั้งในสภาพอิสระในตัว และอยู่ใน เซลล์เม็ดเลือดขาว ที่ติดเชื้อ สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเอชไอวีจากการบริจาคให้ ธนาคารเลือด ในขณะนี้การติดเชื้อเอชไอวี ใน มนุษย์ จัดได้ว่าเป็นโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งเมื่อเดือน มกราคม ค. ศ. 2006 องค์กรความร่วมมือเกี่ยวกับ HIV/AIDS (UNAIDS) และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจาก เอดส์ มากกว่า 25 ล้านคนจากการตรวจพบในวันที่ 1 ธันวาคม ค. 1981 ทำให้เชื้อ HIV เป็นหนึ่งในการแพร่ระบาดที่เป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ ที่ร้ายแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อีกเหตุการณ์หนึ่ง นับจากภายหลัง กาฬมรณะ ที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปในสมัยกลางไปถึง 1 ใน 3 เชื้อ HIV ยังเป็นสาเหตุของการตายของมนุษย์ที่มีความเสียหายมากที่สุดในปี ค. 2005 มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ติดเชื้อประมาณ 2. 4 และ 3.
5 ลิตรขึ้นไป เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วและไตวาย ต้องติดตามการทำงานของไตอย่างน้อยทุก 6 เดือน ด้วยการตรวจ serum creatinine สรุปแล้วการให้ Indinavir ร่วมกับ Ritonavir ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและสามารถลดขนาดยา ของ Indinavir จึงลดความถี่ในการใช้ยาในแต่ละวัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความร่วมมือการใช้ยาเพิ่มมาก