ให้สังเกตสีปัสสาวะ ถ้าสีเหลืองอ่อนนิด แสดงว่าอยู่ในระดับโอเค ไม่ใสหรือเหลืองเข้มเกินไป และสามารถดูสีปัสสาวะอื่นๆ ต่อที่ CLICK แล้วดื่มน้ำวันละ 8 แก้วยังถูกอยู่ไหม? ต้องบอกว่าความต้องการน้ำในร่างกายของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไปในหลายๆ ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อาหารที่ทานแต่ละวัน การออกกำลังกาย อากาศ สุขภาพ โรคประจำตัว การตั้งครรภ์ รวมถึงน้ำหนักตัว เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วอาจไม่ถึงกับผิดหรือถูกเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยในแต่ละคน ตารางการดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว (เป็นการเทียบน้ำหนักพื้นฐาน ยังไม่รวมกับปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ) อ้างอิงตามสูตรการคำนวณ (น้ำหนักตัว/2) x 2. 2 x 30= ปริมาณน้ำ (ml) ทั้งนี้ร่างกายของเราอาจได้รับน้ำจากแหล่งอื่นๆ ได้เช่นกัน อย่างน้ำในเครื่องดื่มอื่นๆ นอกจากน้ำเปล่า อาหาร ผักผลไม้ต่างๆ เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอาจจะไม่ได้เป็นหลักตายตัวเสมอไปว่า หนักเท่านี้ก็ดื่มน้ำเพียงแค่นี้ ในแต่ละบุคคลอาจจะต้องมีการสังเกตตัวเองร่วมด้วยเช่นกัน แต่สามารถดูปริมาณตารางตามน้ำหนักตัวเป็นเกณฑ์เบื้องต้นคร่าวๆ ได้ ทางที่ดีถ้ารู้สึกว่ากระหายน้ำ และปัสสาวะน้อยกว่า 2-2. 5 ลิตรต่อวันก็ให้ดื่มน้ำเพิ่มนั่นเอง Credit Source: healthline,, phyathai
เผยแพร่: 4 พ. ย.
ย. 2558
ไม่ดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจนเกินไป บางคนพอกระหายน้ำ ก็รีบดื่มน้ำให้หมดทันทีทันใด การดื่มเช่นนี้จะมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจอ่อนแรงในระยะยาว เพราะปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วทำให้ไตควบคุมการขับน้ำไม่ได้ทันทีทันใด ก็จะมีปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากแล้วก็ไปเพิ่มภาระการสูบฉีดของหัวใจ
ดาวน์โหลด Garmin CIQ เพื่อติดตามการดื่มน้ำ
ถ้ามีการเสียน้ำมาก และกระหายน้ำมาก ควรใช้เกลือผสมเล็กน้อย เพื่อทำให้ช่วยดับกระหาย แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป 5. ไม่ควรดื่มเบียร์ หรือกินน้ำแข็งเพื่อดับกระหาย เพราะจะเป็นอันตรายต่อระบบการย่อยอาหารในระยะยาว ร่างกายจะอ่อนแอ มีความ เย็นในร่างกายตกค้าง มีของเสียตกค้าง พลังของร่างกายจะอ่อนแอ 6. ไม่ควรดื่มน้ำเย็น หรือดื่มน้ำปริมาณมากหลังกินอาหาร เพราะจะไปเจือจางความเข้มข้นของน้ำย่อย ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ 7. ไม่ปล่อยให้กระหายน้ำเต็ม ที่แล้วค่อยมาดื่มน้ำ มีความหมายเช่นเดียวกับปล่อยให้ดินแห้งแตกระแหงแล้วค่อยมารดน้ำซึ่งจะสายเกินแก้ เป็นอันตรายต่อร่างกาย การที่มีอาการกระหายน้ำแล้วแสดงว่า ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ ถ้ากระหายน้ำเต็มที่แสดงว่าขาดน้ำของ ร่างกาย หรือเซลล์รุนแรง ทำให้มีของเสีย สารพิษตกค้างอยู่มาก ไม่สามารถระบายขับทิ้งได้ (ขาดน้ำไปละลายหรือนำพาสารพิษ) ทำให้ระบบร่างกายอ่อนแอของเสียตกค้าง สะสม โดยทั่วไปควรได้น้ำ 2. 5 ลิตรต่อวัน (ประมาณ 8 แก้ว) 8.
ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 2 ใน 3 ส่วน และอวัยวะสำคัญต่างๆ ก็มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ปอดมีน้ำอยู่เกือบ 90% สมองมีน้ำอยู่ถึง 75% แม้แต่ผิวหน้าก็มีองค์ประกอบประมาณ 35% ดังนั้นในแต่ละวันเราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือทีเรียกว่า TBW (Total Body Water) ซึ่งร่างกายต้องการน้ำวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยจะมีการขับน้ำออกจากร่างกายในลักษณะของปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ ซึ่งน้ำจะถูกขับออกทางปัสสาวะวันละประมาณครึ่งลิตร ถึง 2.
จะดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้วทั้งที เราจะทำกันแบบเล่น ๆ ไม่ได้ เพราะนอกจากตารางนับจำนวนแก้วทั้ง 30 วันแล้ว เรามีวิธีการดื่มน้ำใน 1 วันยังไงให้ครบ 8 แก้ว แบบไม่จุกมาฝากด้วยค่ะ หลังตื่นนอนดื่มน้ำ 1 แก้ว: เวลา 07. 00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอนทันที ช่วงตื่นนอนตอนเช้าเลือดในร่างกายจะมีความข้นหนืดสูง เพราะร่างกายขาดน้ำมาทั้งคืน ฉะนั้นเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำในตอนเช้า จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี และกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ดื่มน้ำช่วงสาย 2 แก้ว: การดื่มน้ำตอนสายเราจะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ เวลา 08. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนกินอาหารเช้าประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่ควรดื่มก่อนกินข้าวแบบทันที เพราะจะทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร อีกอย่างเพิ่มโอกาสเป็นท้องอืดท้องเฟ้อหลังจากกินข้าวเสร็จด้วย เวลา 09. 00 - 10. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ร่างกายจะเริ่มทำงานเต็มที่ในช่วงเวลานี้ พอทำงานเต็มที่ก็จะมีของเสียเกิดขึ้นในร่างกาย เราจึงควรดื่มน้ำเพื่อเอาของเสียเหล่านั้นออกไปจากร่างกายค่ะ ดื่มน้ำช่วงบ่ายหลังกินข้าว 2 แก้ว: เวลา 13. 00 - 16. ดื่มน้ำ 2 แก้ว ในช่วงเวลานี้ไม่จำเป็นต้องดื่มพร้อมกันทันที 2 แก้วนะคะ แต่ให้ใช้วิธีการจิบน้ำระหว่างวันไปเรื่อย ๆ เพื่อดับอาการกระหาย การดื่มน้ำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเราด้วยค่ะ ยิ่งใครต้องทำงานในห้องแอร์ตลอดเวลา การดื่มน้ำในช่วงเวลานี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ ดื่มน้ำตอนเย็นก่อนกินข้าว 2 แก้ว: การดื่มน้ำช่วงเย็นก่อนกินข้าวเราจะแบ่งเป็นช่วงคือ เวลา 17.
เทคนิคง่าย ๆ ในการคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน